วันนี้แม่สายป่านมี 10 วิธีที่สามารถช่วยปรับพฤติกรรมเด็ก
1. พ่อแม่หรือคนเลี้ยงดูควรที่จะปรับสิ่งแวดล้อม ภายในบ้านให้ปลอดภัยสำหรับเด็ก เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น รวมถึง คุณพ่อคุณแม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อยในการห้ามปราบ หรือพูดสั่งลูกตัวเองบ่อยๆว่า "ไม่นะ อย่าทำแบบนั้นนะลูก" "หยุดเดี๋ยวนี้นะ" "อย่านะมันอันตราย" เพื่อป้องกันการเกิดอารมภ์เสียต่อกัน เนื่องจากเด็กวัยนี้ชอบปีนป่ายสำรวจสิ่งของต่างๆ
2. คุณพ่อคุณแม่ควร ชี้แนะโดยการบอกและสอนอย่างใจเย็น ว่าเหตุใดสิ่งนี้ถึงทำได้ หรือทำไม่ได้ และช่วยหาทางออกให้เด็กรู้ด้วยว่าควรทำอย่างไรแทน อาทิเช่น หาลูกคุณกำลังเอาปากกามาขีดเขียนหนังสือ ให้ควรรีบเอาหนังสือออกพร้อมกับบอกลูกคุณว่า "ตรงนี้เขียนไม่ได้นะลูก เดี๋ยวมันเสีย" พร้อมทั้งหากระดาษหรือสมุดวาดเขียนให้เค้าวาดรูปแทนทันที
3. คุณพ่อคุณแม่ควรจัดกิจวัตรประจำวัดให้สม่ำเสมอ เพื่อสร้างวินัยที่ดีให้กับลูกน้อง จัดตารางการกิน การนอนให้เป็นเวลา เพื่อให้เด็กปรับตัวง่ายขึ้น รวมถึงร่วมมือมากขึ้นในการทำกิจวัตรต่างๆ
4. วิธีการเบี่ยงเบนความสนใจ เป็นวิธีที่ได้ผลที่ดีที่สุดกับเด็กเล็ก เพราะเด็กยังไม่มีความสนใจ หรือสมาธิค่อนข้างสั้น จึงสามารถหาวิธีเบี่ยงเบนความสนใจให้เด็กหันไปสนใจอย่างอื่นแทน เพื่อหยุดพฤติกรรมที่ไม่ต้องกาได้ เช่น หากลูกคุณกำลังกัดกระดาษหรือหนังสืออยู่ เบี่ยงเบนให้ลูกเล่นยางกัดแทน หรืออ่านหนังสือนิทานให้ฟัง
5. วิธีการไม่สนใจและเพิกเฉย ใช้เพื่อหยุดพฤติกรรมที่ไม่ต้องการ โดยที่พฤติกรรมนั้นต้องไม่เป็นอันตรายต่อตัวเด็กเอง หรือต่อผู้อื่นหรือสิ่งของ เช่นหากลูกกำลังโวยวาย อยู่ที่พื้นเพราะอยากได้ของ หรือไม่ได้ดั่งใจตามที่เค้าต้องการ ก็ควรปล่อยให้ลูกร้องไปเรื่อยๆและทำเป็นไม่สนใจ แต่อยู่ในสายตาของเราว่าลูกปลอดภัยดี สักพักเมื่อเด็กรับรู้ได้ว่าวิธีนี้พ่อแม่ไม่สนใจเค้า ลูกก็จะหยุดร้องไห้ไม่เอง เมื่อลูกหยุดร้องไห้แล้วถึงจะเข้าไปหา แล้วอธิบายเหตุผล แต่ห้ามเข้าไปโอ๋หรือต่อรองกับเด็ก
ุ6. การให้ได้รับผลตามธรรมชาติและการให้รับผิดชอบผลของการกระทำ จะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเองต่อไป ตัวอย่างเข่น หากลูกไม่ยอมกินนม ให้เด็กรู้สึกถึงความหิว เด็กจะยอมกินอาหารมื้อต่อไป
7. การเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับเด็ก เด็กวัยนี้ชอบเลียนแบบพฤติกรรมผู้ใหญ่ การที่คนในบ้านแสดงพฤติกรรมที่ดีและสม่ำเสมอ แม้ว่าเด็กจะไม่เข้าใจเหตุผลของการกระทำทั้งหมด แต่เด็กจะค่อยๆเรียนรู้ และซึมซับว่าการที่ผู้ใหญ่ทำพฤติกรรมดังกล่าวนั้น ตัวอย่างเช่น ผู้ใหญ่เล่นกับสุนัขที่บ้านอย่างนุ่มนวล พูดคุยด้วยภาษาสุภาพและมีเหตุผล
8. การแยกให้อยู่ตามลำพังชั่วคราว หรือที่เรียกว่า Time Out เมื่อเด็กมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ให้เด็กแยกออกมาอยู่ตามลำพังเพื่อสงบอารมภ์โดยมีวิธีการดังนี้
- เตือนล่วงหน้าว่าจะให้เด็กทำอะไร เช่น หยุดรื้อของเดี๋ยวนี้แล้วไปนั่งที่เก้าอี้ตรงนั้น
- หากเด็กไม่ยอมไปนั่งให้จูงมือและอุ้มเด็กไปนั่นเก้าอี้หรือจุดสงบที่เตรียมเอาไว้
- กำหนดเวลาให้เด็กรู้ว่าต้องสงบนานเท่าไหร่ โดยมีข้อจำกัดว่าว่า ทุกๆ 1 ปี จะมีระยะเวลา Time Out 1 นาที เนื่องจากเด็กเล็กยังไม่เข้าใจเรื่อเวลา ควรหานาฬิกาใหญ่ๆมาตั้งใกล้ๆ และชี้ให้เด็กดูว่าต้องนั่งนานเท่าใด
- ระหว่างให้เด็กสงบ ไม่ควรให้ความสนใจหรือพูดตอบโต้กับเด็ก ไม่ควรให้เด็กนั่งอยู่บริเวณที่มีของเล่น โททัศน์ และไม่ควรขังในห้องน้ำ และห้องมืด
- เมื่อหมดเวลาแล้ว ควรให้ความสนใจกับเด็ก พูดคุยกับปัญหาที่เกิดขึ้นและสอนด้วยเหตุผล และไม่ควรใส่อารมภ์หรือพูดยั่วยุให้โมโหต่อ
9. การสร้างแรงเสริมในทางบวกคือการชมเชยผ่านทางคำพูดหรือการแสดงออกผ่านทางสีหน้าท่าทางเช่นการโอบกอด ลูบศรีษะ การชมเด็กควรทำด้วยความจริงใจและเจาะจงกับพฤติกรรมที่เด็กทำ
10. การลงโทษ โดยทั่วไปไม่ควรลงโทษเป็นวิธีแรกหรือบ่อยๆเพราะจำทำให้เด็กไม่เข้าใจ ควรมีเหตุผลทุกครั้งที่ลงโทษ
การปรับพฤติกรรมเด็กให้ได้ผล ต้องเข้าใจพัฒนาการตามวัยของเด็กแล้วผู้เลี้ยงดูควรให้ความรัก ปฏิบัติต่อเด็กอย่างสม่ำเสมอ รู้วิธีการสื่อสารกับเด็กอย่างจริงจัง และต้องอาศัยการร่วมมือของทุกคนในบ้านแก้ปัญหาให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น