“ Using Your Word”
ถ้าคุณแม่คุณพ่อคนไหนได้ดูหนังฝรั่งบ่อยๆในหนังครอบครัว
เรามักจะเจอคำนี้ที่คุณพ่อคุณแม่พูดกับลูกบ่อยๆในหนัง
เป็นอีกวิธีหนึ่งคะที่ช่วยสอนให้ลูกว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกอย่างไร
วันนี้แม่สายป่านจะมาอธิบายวิธีใช้คำพูด ซึ่งขอบอกคะว่าได้ผลจริงๆคะ
การบอกกล่าวด้วยวาจา หรือที่เราเรียกันว่า “Using Your Word” แปลว่าอะไร
เมื่อคุณพ่อคุณแม่ถามลูกว่าให้ใช้คำพูดแปลว่า
เรากำลังพยายามให้ลูกใช้ภาษาหรือคำพูดที่อธิบายความรู้สึกข้างใน ความต้องการของเด็กๆ
ก่อนที่จะพยายามลงมือทำอะไรซักอย่าง
การทำวิธีนี้จะเป็นวีธีที่ช่วยเชื่อมโยงเพื่อให้เด็กตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้องก่อนการลงมือกระทำ
เพราะว่าการพูดถึงความรู้สึกของเค้า จะทำให้เค้าคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น
โดยใช้อารมภ์ที่น้อยลง เหมือนศาสนาพุทธนั่นแหละคะ ว่าให้ รู้หนอ รู้หนอ โกรธหนอ
โกรธหนอ เป็นการรู้สึกตัวทุกวินาทีว่าเรากำลังรู้สึกอะไร หลายๆครั้ง
เด็กอาจจะทำไปโดยไม่ได้นึกถึง หรือขาดสตินั่นเอง
การพูดแสดงความรู้สึกจึงเป็นทางช่วยที่จะคอยให้เด็กเข้าใจถึงความรู้สึกได้ดีขึ้น
และมีวิธีการแก้ปัญหาได้ดีขึ้น
รวมถึงการพูดความรู้สึกจะทำให้พ่อแม่เข้าใจได้ง่ายขึ้น
โดยที่เด็กจะไม่รู้สึกเก็บกดอยู่ข้างใน แม่สายป่านขออนุญาติยกตัวอย่างนะคะ
จะได้เห็นภาพได้ชัดขึ้น
ณ วันหนึ่งในขณะที่น้องออมใจกำลังนั่งเล่นของเล่นกับเพื่อนข้างบ้าน
แล้วเพื่อนข้างบ้านดึงของเล่นออกไปจากมือน้องออมใจโดยไม่ขอน้องออมก่อน
น้องออมกำลังจะเอื้อมมือที่จะเข้าไปตีเด็กคนนั้น เมื่อแม่สายป่านเห็นจึงบอกไปว่า “ใช้คำพูดซิลูก
อย่าใช้กำลัง” หรือ “ Aommy ! Please Use your word” แทนที่แม่สายป่านจะพูดว่า
“อย่าตีนะลูก” หรือ “Stop it” เป็นการเรียกสติให้กับน้องออมใจ
และน้องออมก็จะตอบกลับมาว่า “ หนูรู้สึกโกรธที่เค้าแย่งของเล่นออกไปจากมือหนู”
หรือ
“I feel angry when she stole the toy from my had” การที่ให้ลูกรู้สึกระบายความรู้สึกอยู่ข้างใน
จะเป็นการเตือนสติให้ลูกเข้าใจว่าเค้ากำลังคิดอะไร และจะทำอะไร
ทำไมถึงยากกับการที่ให้ลูกใช้คำพูดในการแทนความรู้สึก
“การใช้คำพูด” มันจะมีหลายสเต็ป
อย่างแรกลูกจะเข้าใจว่าเค้ากำลังรู้สึกอย่างไร
และเด็กจะพยายามที่จะเข้าใจว่าตอนนี้เค้าอยู่ในช่วงหงุดหงิด หรือกำลังจะโกรธกันแน่
หลังจากนั้นเด็กจะพยายามหาคำพูดที่เหมาะสมกับความรู้สึกของเค้าในใจ
ซึ่งบางครั้งคุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องช่วยลูกให้ลูกเข้าใจ ในความแตกต่างในแต่ละคำพูด
ยกตัวอย่างนะคะ
น้องออมใจกำลังหัวเราะอย่างมีความสุข แม่สายป่านก็จะบอกทันทีว่า “There
is my happy Girl” หรือ “ลูกสาวของแม่กำลังมีความสุข” แม่สายป่านจะพยายามหาคำพูดเพื่อที่จะมาอธิบายความรู้สึกของน้องออมใจตอนนี้
เพื่อให้น้องออมใจเข้าใจว่าควรใช้คำพูดอะไร
เมื่อเด็กๆสามารถเข้าใจถึงความรู้สึกข้างใจของเค้าแล้ว
เค้าก็เรียนรู้ที่จะแยกแยะคำ และความรู้สึกของเค้าตอนนั้นซึ่งเด็ก 1-2 ขวบสามารถเข้าใจและเรียนรู้ได้แล้ว
ดังนั้นวิธีการนี้ควรฝึกตั้งแต่เด็ก ยกตัวอย่างนะคะ
“ในขณะที่น้องออมใจกำลังเล่นตัวต่อและพยายามประกอบมันเข้าด้วยกัน จนกระทั่งน้องออมรู้สึกเหนื่อย
แต่สุดท้ายน้องออมใจก็ประกอบไม่ได้ซักที น้องออมใจจึงขว้างของเล่นทิ้ง
แม่สายป่านจึงพูดสวนไปทันทีว่า “Aommy, I know that you are angry at the
puzzle, but we don’t throw the puzzles, Say, “I’m angry; Help me,
Mommy,” and I will help you with the puzzle” หรือ ออมใจคะแม่รู้นะคะว่าหนูกำลังโมโหเกี่ยวกับตัวต่อ
แต่เราไม่ควรโยนมันทิ้งนะคะ พูดตามแม่นะคะ “หนูโมโหกับตัวต่อ
คุณแม่ช่วยหน่อยได้มั้ยคะ” แล้วแม่จะช่วยหนู
อย่างเหตุการณ์ที่แม่สายป่านยกตัวอย่าง
คือสาเหตุเกิดจากน้องออมใจพยายามต่อจนเหนื่อย จนทำให้เกิดความโกรธ
เมื่อออมใจรู้สึกโกรธจึงขว้างของเล่น
การพูดแบบนี้จะทำให้เด็กได้รู้ความเข้าใจระหว่าง
ความเหนื่อยที่สามารถก่อตัวขึ้นมาให้เป็นอารมภ์โกรธ
เข้าใจความรู้สึกของตนเองมากขึ้น
คุณพ่อคุณแม่ควรช่วยเด็กๆในการสอนให้เด็กใช้คำพูดแทนความรู้สึกที่อยู่ข้างใน
ขอยกตัวอย่างอีกเหตุการณ์หนึ่งนะคะ
น้องออมใจชอบเล่นกับหมาชื่อซุปปี้
ในขณะที่เล่นกันอยู่ด้วยความที่น้องออมตัวเล็ก และซุปปี้ตัวใหญ่เวลาซุปปี้กระโจนและเล่นกับน้องออมใจ
จนทำให้น้องออมใจล้มลงกับพื้น ขณะที่แม่สายป่านเห็นเหตุการณ์ แม่สายป่านพูดว่า “น้องออมใจ
อย่าตีพี่ซุปปี้นะ หนูสามารถพูดด้วยน้ำเสียงที่โกรธว่า “ไม่นะ ซุปปี้ อย่ากระโดด
ฉันไม่ชอบ” แทน การที่แม่สายป่านทำแบบนี้จะช่วยลดการกระทำลงหรือที่เราเรียกกันว่า
Physical expression
เห็นมั้ยละคะว่ามันไม่ยากอย่างที่คิดแต่ต้องใช้ระยะเวลา
และความอดทนในการสอน ในช่วงระหว่างวันคุณพ่อคุณแม่ควรฝึกไปพร้อมๆกันโดยอธิบายว่า
ให้ลูกเข้าใจว่าคุณพ่อคุณแม่กำลังรู้สึกอย่างไร
รวมถึงน้ำเสียงที่กำลังบ่งบอกให้ลูกว่าตอนนี้คุณพ่อคุณแม่รู้สีกอย่างไร อย่าคิดว่าเด็กจะไม่เข้าใจนะคะ
เพราะความจริงแล้วเด็กฉลาดมากกว่าที่คุณพ่อคุณแม่คิดเอาไว้ เค้าสามารถจับอารมภ์
จับน้ำเสียง อาม่าน้องออมใจมักสอนเสมอคะ ว่าอย่าดุลูกพร่ำเพรื่อ
พยายามแยกน้ำเสียงให้ออกว่าอันนี้โกรธ อันไหนโกรธมาก พยายามแยกน้ำเสียงในแต่ละระดับ
ว่าระดับเสียง และน้ำเสียงแบบนี้คุณแม่โกรธแล้วนะ
วิธีทำแบบนี้ไม่ได้ใช้เฉพาะเวลาที่ลูกกำลังทำอะไรไม่ดี
แต่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้ตลอดคะ
วิธีนี้จะเป็นการช่วยให้มีการสื่อสารที่ดีขึ้นไม่ว่าระหว่างพ่อแม่กับลูก
หรือลูกกับเพื่อนๆ ซึ่งจะเป็นผลดีในระยะยาวในอนาคตเมื่อลูกโตขึ้น
วันนี้แม่สายป่านขอฝากเรื่องนี้ให้คุณพ่อคุณแม่ลองให้ปรับใช้กันดูนะคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น